ผลการตัดสินรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี ๒๕๖๒

วันนี้(๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒) เวลา  ๑๓.๓๐ น.  ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ประสิทธิ์  วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล  ในฐานะรองประธานมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์  นางสาวบุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ฯ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์   และศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช   ประธานคณะกรรมการรางวัลนานาชาติ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์     ได้ร่วมกันแถลงผลการตัดสินผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล   ครั้งที่ ๒๘   ประจำปี  ๒๕๖๒   ณ ห้องสมเด็จพระบรมราชชนก   ตึกสยามินทร์  ชั้น ๒ โรงพยาบาลศิริราช               

 

ผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล

สาขาการแพทย์              ได้แก่    ศาสตราจารย์ ดร. ราล์ฟ เอฟ ดับเบิ้ลยู  บาร์เทนชลากเกอร์

                                                    (Professor Dr.Ralf F.W. Bartenschlager) จากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

 

สาขาการสาธารณสุข        ได้แก่    ศาสตราจารย์นายแพทย์ เดวิด เมบี

                                                       (Professor David Mabey) จากสหราชอาณาจักร

         

 

ทั้งนี้ มีผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี ๒๕๖๒  ทั้งสิ้น ๖๖ ราย จาก ๓๕ ประเทศ  คณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิชาการได้พิจารณากลั่นกรอง และคณะกรรมการรางวัลนานาชาติ ได้พิจารณาจากผู้ได้รับการเสนอชื่อรวม ๓ ปี คือ ปี ๒๕๖๒, ๒๕๖๑, ๒๕๖๐  และนำเสนอต่อคณะกรรมการมูลนิธิฯ  ซึ่งสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  ทรงเป็นประธาน  พิจารณาตัดสินเป็นขั้นสุดท้ายเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน  พ.ศ.๒๕๖๒

โดยระยะเวลา  ๒๗ ปี ที่ผ่านมา  มีบุคคลหรือองค์กรได้รับรางวัลแล้วทั้งสิ้น  ๘๓ ราย   มีคนไทยได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล  ๔ ราย    ได้แก่   ศาสตราจารย์นายแพทย์ประสงค์  ตู้จินดา  จากการศึกษาผลกระทบของเชื้อไวรัสเด็งกี่ ต่อความพิการของร่างกายเด็กที่ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก   และศาสตราจารย์แพทย์หญิงสุจิตรา  นิมมานนิตย์ จากการจำแนกความรุนแรงของโรคไข้เลือดออก  ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล สาขาการแพทย์ ประจำปี ๒๕๓๙ และนายแพทย์วิวัฒน์  โรจนพิทยากร  ผู้ริเริ่มโครงการส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัย ๑๐๐% ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรคเอดส์  และนายมีชัย  วีระไวทยะ  ผู้ริเริ่มวิธีการสื่อสารรณรงค์เผยแพร่การใช้ถุงยางอนามัย  ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล สาขาการการสาธารณสุข ประจำปี ๒๕๕๒

 

 

ผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลแล้วต่อมา ได้รับรางวัลโนเบล ๕ ราย ได้แก่

ศาสตราจารย์แบรี่ เจมส์ มาแชล จากประเทศออสเตรเลีย ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล สาขาการสาธารณสุข ประจำปี ๒๕๔๔ จากการค้นพบเชื้อแบคทีเรีย เฮลิโคแบคเตอร์ ไพลอรี่ เป็นสาเหตุของโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล  ต่อมาได้รับรางวัลโนเบล สาขาการแพทย์ ในปี ๒๕๔๘ ด้วยการค้นพบเดียวกัน

ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ฮารัลด์  ซัวร์ เฮาเซ่น จากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล สาขาการแพทย์ ประจำปี ๒๕๔๘ จากการค้นพบเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก  ต่อมาได้รับรางวัลโนเบล สาขาการแพทย์ ประจำปี ๒๕๕๑ จากการค้นพบเดียวกัน

ศาสตราจารย์ซาโตชิ  โอมูระ จากประเทศญี่ปุ่น  ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล สาขาการแพทย์ ประจำปี 2540  จากผลงานการศึกษาวิจัยจุลชีพชนิดหนึ่งชื่อ สเตรฟโตมัยซีสเอเวอร์มิติลิต จนสามารถสังเคราะห์ยา ivermectin ใช้รักษาและป้องกันโรคตาบอดจากพยาธิและโรคเท้าช้าง ต่อมาได้รับรางวัลโนเบล สาขาการแพทย์ ประจำปี 2558 จากผลงานเดียวกัน

ศาสตราจารย์ตู โยวโยว จากสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นสมาชิกของกลุ่ม china cooperative research group on qinghaosu and its derivatives as antimalarials  ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล สาขาการแพทย์ ประจำปี ๒๕๔๖ จากการศึกษาสารสกัดชิงเฮาซูจนสามารถพัฒนาเป็นยารักษาโรคมาลาเรีย   ต่อมาได้รับรางวัลโนเบล สาขาการแพทย์ ประจำปี ๒๕๕๘ จากการศึกษาเดียวกัน

เซอร์เกรกอรี พอล วินเทอร์ ผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล สาขาการแพทย์ ประจำปี ๒๕๕๙ จากการพัฒนาเทคโนโลยีในการสร้าง และดัดแปลงโมเลกุลของแอนติบอดีให้มีประสิทธิภาพสูงและมีความเป็นสิ่งแปลกปลอมลดลง (Antibody Humanization) นำไปสู่ความก้าวหน้าในการพัฒนายา  กลุ่มใหม่ จากชีวโมเลกุลซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการรักษาโรค  ต่อมาได้รับรางวัลโนเบล สาขาเคมี ประจำปี ๒๕๖๑ จากการพัฒนาเดียวกัน

 

รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล  เป็นรางวัลที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ   พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งขึ้น เพื่อถวายเป็นพระราชานุสรณ์แด่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในโอกาสจัดงานเฉลิมฉลอง ๑๐๐ ปี  แห่งการพระราชสมภพ  ๑ มกราคม ๒๕๓๕   ดำเนินงานโดยมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์   ซึ่งสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธาน  มอบรางวัลให้แก่บุคคลหรือองค์กรทั่วโลกที่มีผลงานดีเด่นเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ทางด้านการแพทย์ ๑ รางวัล  และด้านการสาธารณสุข  ๑ รางวัล เป็นประจำทุกปีตลอดมา  แต่ละรางวัลประกอบด้วย เหรียญรางวัล,  ประกาศนียบัตร  และเงินรางวัล  ๑๐๐,๐๐๐  เหรียญสหรัฐ

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ แทนพระองค์     พระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี ๒๕๖๒  ในวันพฤหัสบดีที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓  เวลา ๑๗.๓๐ น.  ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง   โดยในวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๓  คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล  ในฐานะผู้ริเริ่มรางวัลอันทรงเกียรติจะเชิญผู้รับพระราชทานรางวัลฯ มาเยือนและแสดงปาฐกถาเกียรติยศ  ในผลงานที่ได้รับด้วย

 

**********

 

ผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล  ประจำปี ๒๕๖๒

สาขาการแพทย์

 

ศาสตราจารย์ ดร.ราล์ฟ เอฟ ดับเบิ้ลยู  บาร์เทนชลากเกอร์

หัวหน้าภาควิชาโรคติดเชื้อ อณูไวรัสวิทยา มหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก

และหัวหน้าหน่วยไวรัสที่สัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง สถาบันวิจัยมะเร็งแห่งเยอรมนี

สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

 

ศาสตราจารย์ ดร.ราล์ฟ เอฟ ดับเบิ้ลยู  บาร์เทนชลากเกอร์  มีผลงานที่โดดเด่นคือการศึกษาเกี่ยวกับวงจรชีวิตของไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus หรือ HCV)  นำไปสู่องค์ความรู้ในการพัฒนายาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูง มีความจำเพาะ และปลอดภัย

หลังการค้นพบเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในปี พ.ศ.๒๕๓๒  เป็นเวลากว่า ๑๐ ปีที่นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถแยกเชื้อดังกล่าวด้วยเซลล์เพาะเลี้ยง  ศาสตราจารย์บาร์เทนชลากเกอร์และคณะ ได้ค้นพบวิธีเพิ่มจำนวนเชื้อไวรัสนี้ในเซลล์เพาะเลี้ยง และสร้างแบบจำลองชิ้นส่วนพันธุกรรมของไวรัสได้  ทำให้เปิดโอกาสในการค้นหาสารจำนวนมากที่สามารถเป็นยาต้านไวรัสชนิดนี้ได้อย่างรวดเร็ว  อีกทั้งยังค้นพบชิ้นส่วนของโปรตีนที่ไม่มีโครงสร้าง (เอนเอส 3)  ซึ่งสร้างเอนไซม์โปรตีเอสของไวรัส  และพบว่าเป็นเป้าหมายสำคัญของยาที่สามารถต้านเชื้อนี้ได้  ผลการศึกษานี้ นำไปสู่การพัฒนายาต้านไวรัสตับอักเสบซีรุ่นใหม่ ที่เรียกว่า ดีเอเอ (DAA : direct acting antiviral) ที่สามารถรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีแบบเรื้อรัง ให้หายได้ถึงร้อยละ ๙๕ โดยมีผลข้างเคียงน้อยลง

ปัจจุบันมีมากกว่า ๗๑ ล้านคนทั่วโลกที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีแบบเรื้อรัง และนำไปสู่การเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับ  ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าวประมาณ ๔ แสนคนในแต่ละปี

อย่างไรก็ตาม ยาดังกล่าวยังมีราคาสูง  แต่ด้วยเป้าหมายที่จะลดการแพร่ระบาดของไวรัสตับอักเสบซี  จึงได้มีความช่วยเหลือสำหรับประเทศยากจน ทำให้มีประชากรเข้าถึงการรักษาด้วยยาดีเอเอ ได้เพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านคน ถึง ๑.๕ ล้านคนในช่วงปีพ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙  และขณะนี้มีอีกหลายประเทศทั่วโลก ที่มีโครงการให้การรักษาด้วยยาดีเอเอแก่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อนี้  สำหรับประเทศไทย สำนักงานหลักประกันสุขภาพได้ต่อรองราคายาลงกว่าร้อยละ ๗๐ และบรรจุยานี้ใช้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ  ทำให้คนไทยทุกสิทธิประกันสุขภาพและประกันสังคมใช้สิทธิการรักษาได้

ศาสตราจารย์บาร์เทนชลากเกอร์  มีผลงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารวิชาการชั้นนำมากกว่า  ๓๐๐ เรื่อง  และได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย อาทิ  รางวัล Robert Koch Award (2558), Lasker-DeBakey Award (2559) และ Hector Prize (2560) ด้วยความมุ่งมั่นในการศึกษาและค้นพบที่สำคัญของศาสตราจารย์ ดร. ราล์ฟ เอฟ ดับเบิ้ลยู  บาร์เทนชลากเกอร์  ทำให้สามารถรักษาโรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต  ทำให้สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้หลายล้านคนทั่วโลก

 

**********

 

ผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล  ประจำปี ๒๕๖๒

สาขาการสาธารณสุข

 

ศาสตราจารย์นายแพทย์เดวิด เมบี

ศาสตราจารย์สาขาโรคติดต่อ  และภาควิชาวิจัยคลินิก

วิทยาลัยสุขภาพและเวชศาสตร์เขตร้อน  มหาวิทยาลัยลอนดอน

สหราชอาณาจักร

ศาสตราจารย์นายแพทย์เดวิด เมบี  ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโรคริดสีดวงตา มากว่า ๓๐ ปี  โรคริดสีดวงตาเป็นการติดเชื้อของตาที่ทำให้ตาบอดได้บ่อยที่สุด  โดยเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า คลามิเดีย ทราโคมาติส (Chlamydia trachomatis) ซึ่งทำให้ตาบอดหรือเกิดความพิการทางสายตาได้มากถึงปีละ ๑.๙ ล้านคนทั่วโลก การติดเชื้อแพร่กระจายได้โดยการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากตาหรือจมูกของผู้ที่ติดเชื้อ  โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่มีสุขอนามัยไม่ดี  ประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น  และไม่มีแหล่งน้ำสะอาดที่เข้าถึงได้เพียงพอ

นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๓ เป็นต้นมา ศาสตราจารย์เมบีและคณะ ได้ศึกษาในพื้นที่ของประเทศแกมเบียและแทนซาเนีย  และค้นพบว่าการตาบอดจากโรคริดสีดวงตาเกิดจากการตอบสนองของภูมิคุ้มกันร่างกายต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย  ในปีพ.ศ. ได้แสดงว่าการให้ยาเอซิโทรมัยซิน (azithromycin) เพียง ๑ ครั้งสามารถรักษาโรคริดสีดวงตาอย่างได้ผล  จึงได้มีการศึกษาแบบพหุสถาบัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าการให้ยาดังกล่าวในชุมชนแบบประจำปี สามารถลดการแพร่กระจายของโรคนี้ได้ ดังนั้นจึงค้นพบว่าการให้ยาเอซิโทรมัยซิน แบบครอบคลุมประชากรจำนวนมาก สามารถช่วยกำจัดโรคนี้ให้หมดไปได้ในถิ่นที่เป็นแหล่งระบาดของโรค

ผลงานวิจัยนี้นำไปสู่นโยบายขององค์การอนามัยโลก ที่จะกำจัดโรคริดสีดวงตาให้หมดไปด้วยโปรแกรมเซฟ (SAFE) ประกอบด้วย การควบคุมโรคโดยการผ่าตัด (surgery), การรักษาแบบครอบคลุมด้วยยาปฏิชีวนะ (antibiotic), ส่งเสริมการล้างหน้า (face washing) และ การปรับปรุงสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัย (environment) โดยมีการให้ยาเอซิโทรมัยซิน ถึง ๗๐๐ ล้านโดส สำหรับประชาชนใน ๔๐ ประเทศ ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๔๐- ๒๕๖๐ขณะนี้ มี ๑๓ ประเทศ  ที่รายงานว่าสามารถกำจัดโรคริดสีดวงตาให้หมดไปได้สำเร็จแล้ว องค์การอนามัยโลกได้ตั้งเป้าหมายที่จะกำจัดโรคริดสีดวงตาให้หมดไปจากปัญหาทางสาธารณสุข และไม่เป็นสาเหตุของตาบอดในทุกประเทศทั่วโลกภายในปีพ.ศ.๒๕๖๘

ศาสตราจารย์เมบี  มีผลงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารวิชาการชั้นนำกกว่า 200 เรื่อง และได้รับรางวัลต่างๆ เกี่ยวกับการศึกษาปัญหาสุขภาพในเขตร้อน  รวมถึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Commander of the British Empire (CBE) โดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๒แห่งสหราชอาณาจักร ในปีพ.ศ.๒๕๕๗ จากผลงานการให้บริการเพื่อพัฒนาสุขภาพในเอเซียและแอฟริกา ด้วยความพยายามในการศึกษาวิจัยเพื่อควบคุมและกำจัดโรคริดสีดวงตาที่ทำให้ตาบอดของศาสตราจารย์นายแพทย์เดวิด เมบี  ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของคนหลายล้านคนทั่วโลกดีขึ้น