แถลงข่าวผลการตัดสินรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2552

        วันที่ 3  ธันวาคม 2552   เวลา 10.30 น.   ศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์ธีรวัฒน์  กุลทนันทน์   คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล  ในฐานะรองประธานมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์      นางสาววิมล  คิดชอบ  อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ฯ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์   และศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช   ประธานคณะกรรมการรางวัลนานาชาติ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์     ได้ร่วมกันแถลงผลการ ตัดสินผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล   ครั้งที่ 18    ประจำปี  2552   ณ ห้องสมเด็จพระบรมราชชนก   ตึกสยามินทร์  ชั้น 2  โรงพยาบาลศิริราช

          ผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล สาขาการแพทย์  ได้แก่ ศาสตราจารย์แอนน์ มิลส์  (Professor Anne Mills)  สาขาการสาธารณสุข     ได้แก่   นายแพทย์วิวัฒน์  โรจนพิทยากร  (Dr.Wiwat Rojanapithayakorn)      และนายมีชัย  วีระไวทยะ (Mr. Mechai Viravaidya)

           ทั้งนี้  มีผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2552  ทั้งสิ้น  66 ราย  จาก  35  ประเทศ  คณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิชาการได้พิจารณากลั่นกรอง และคณะกรรมการรางวัลนานาชาติ ได้พิจารณาจากผู้ได้รับการเสนอชื่อรวม 3 ปี คือปี 2552, 2551, 2550 และนำเสนอต่อคณะกรรมการมูลนิธิฯ ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  สยามบรมราชกุมารี  ทรงเป็นองค์ประธาน  ได้พิจารณาตัดสินเป็นขั้นสุดท้ายเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน  2552  โดยระยะเวลา 17 ปี ที่ผ่านมา    มีบุคคลหรือองค์กรได้รับรางวัลนี้แล้วทั้งสิ้น  51  ราย  ในจำนวนนี้  มี 2 ราย ที่ได้รับรางวัลโนเบลในเวลาต่อมา คือ ศาสตราจารย์นายแพทย์ แบรี่  เจมส์  มาร์แชล  ปี 2548     และศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ ฮารัลด์  ซัวร์  เฮาเซน  ปี 2551   และมีคนไทยเคยได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล  2 ราย  คือ   ศาสตราจารย์นายแพทย์ประสงค์  ตู้จินดา  และศาสตราจารย์แพทย์หญิงสุจิตรา   นิมมานนิตย์  ปี 2539

รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล   เป็นรางวัลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ   พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งขึ้น      เพื่อถวายเป็นพระราชานุสรณ์แด่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร  อดุลยเดชวิกรม  พระบรมราชชนก ในโอกาสจัดงานเฉลิมฉลอง 100 ปี แห่งการพระราชสมภพ  1 มกราคม 2535  ดำเนินงานโดยมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์  ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธาน มอบรางวัลให้แก่บุคคลหรือองค์กรทั่วโลกที่มีผลงานดีเด่นเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ทางด้านการแพทย์ 1 รางวัล  และการสาธารณสุข  1 รางวัล เป็นประจำทุกปีตลอดมา โดยแต่ละรางวัลจะได้รับเหรียญรางวัล  ประกาศนียบัตร และเงินรางวัลมูลค่า 50,000 เหรียญสหรัฐ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ   จะเสด็จฯ พระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล  ประจำปี 2552    ในปลายเดือนมกราคม  พ.ศ.2553    ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท    โดยก่อนนั้น 1 วัน   คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล      ในฐานะผู้ริเริ่มรางวัลอันทรงเกียรติจะเชิญผู้รับพระราชทานรางวัลฯ         มาเยือนและแสดงปาฐกถาเกียรติยศ  ในผลงานที่ได้รับด้วย

รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2552
สาขาการแพทย์

 

ศาสตราจารย์แอนน์  มิลส์
ศาสตราจารย์ด้านนโยบายและเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข
ภาควิชาสาธารณสุขและนโยบาย London School of Hygiene and Tropical Medicine
มหาวิทยาลัยลอนดอน  สหราชอาณาจักร

       ศาสตราจารย์แอนน์ มิลส์       เป็นผู้นำในการนำความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการคลังสุขภาพ ซึ่งเป็นความรู้ใหม่  มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาระบบสุขภาพของโลก  โดยอาศัยข้อค้นพบที่ว่า “การลงทุนด้านสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพจะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเป็นธรรมในสังคม”   ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวทั่วโลก  ในการลงทุนด้านสุขภาพและการใช้ทรัพยากรที่จำกัดอย่างคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์อย่างกว้างขวาง

       นอกจากนี้ ศาสตราจารย์แอนน์ มิลส์  ยังมีบทบาทอย่างสูงในการสร้างความเข้มแข็งแก่นักวิจัยและเสริมสร้างศักยภาพขององค์กรวิจัยในประเทศกำลังพัฒนาในแถบอัฟริกาและเอเซีย  โดยมุ่งเน้นสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข  การคลังสุขภาพ  การวิจัยระบบและนโยบายสุขภาพโดยเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ และโครงการวิจัยแก่นักศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอกมากมายจากหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย  ส่งผลให้เกิดการแพร่ขยายการดำเนินการด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขไปทั่วโลก

           ผลงานของ ศาสตราจารย์แอนน์ มิลส์  ก่อให้เกิดการลงทุนด้านสุขภาพมากกว่า 4 เท่าในระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา  สุขภาพของมวลมนุษย์ได้รับการยกระดับให้เป็นวาระแห่งการพัฒนาที่สำคัญในระดับประเทศและระดับโลก  อัตราการเสียชีวิตของเด็กและคนจนในทวีปอัฟริกาและทวีปเอเชียลดลงอย่างชัดเจน  เป็นประโยชน์แก่สุขภาพอนามัยของมวลมนุษย์นับพันล้านคนทั่วโลก

รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2552
สาขาการสาธารณสุข

นายแพทย์วิวัฒน์  โรจนพิทยากร
ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศมองโกเลีย
อดีตผู้อำนวยการคนแรก ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคเอดส์ กระทรวงสาธารณสุข

       นายแพทย์วิวัฒน์  โรจนพิทยากร        ขณะรับราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมโรคติดต่อเขต 4  จังหวัดราชบุรี  เมื่อปี พ.ศ.2532  ได้ริเริ่มโครงการถุงยางอนามัย 100% (100% Condom Use Programme) ขึ้นในจังหวัดราชบุรี  โดยการสร้างความเข้าใจถึงความจำเป็นของการป้องกันโรคเอดส์แก่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง  ทั้งฝ่ายปกครอง  ฝ่ายสาธารณสุข  ฝ่ายเพศพาณิชย์และหญิงบริการ  จนสามารถส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยแบบผูกขาด  ให้หญิงบริการทั้งจังหวัดปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัย (No Condom – No Sex)  ส่งผลให้การติดเชื้อเอดส์ในหญิงบริการลดลงอย่างมาก  และสามารถป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อเอดส์ในสังคมได้  นายแพทย์วิวัฒน์  โรจนพิทยากร  จึงได้ดำเนินการแพร่ขยายโครงการถุงยางอนามัย 100%  ไปยังจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ  ส่งผลให้การมีผู้ป่วยเอดส์ใหม่ลดลงจาก 400,000 ราย  ในปี พ.ศ.2534  เหลือน้อยกว่า 14,000 รายในปี พ.ศ.2544

         นอกจากนี้ นายแพทย์วิวัฒน์  โรจนพิทยากร    ยังได้นำโครงการถุงยางอนามัย 100%  ไปใช้อย่างแพร่หลายในหลายประเทศได้แก่ ประเทศกัมพูชา, พม่า, จีน, มองโกเลีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม   และลาว   ซึ่งก็ปรากฏผลสำเร็จด้วยดีเช่นกัน  องค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การอนามัยโลก  ธนาคารโลก, UNAIDS,  USAIDS  ให้การยอมรับว่าโครงการถุงยางอนามัย 100%  เป็นวิธีการป้องกันโรคเอดส์ที่ประสบความสำเร็จสูงมาก  อีกทั้งเป็นตัวอย่างความสำเร็จของการเปลี่ยนพฤติกรรมอีกด้วย ผลงานถุงยางอนามัย 100%  ของ นายแพทย์วิวัฒน์  โรจนพิทยากร  มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการป้องกันการแพร่กระจายของโรคเอดส์อย่างมาก  ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพอนามัยของผู้คนหลายร้อยล้านคนทั่วโลก

รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2552
สาขาการสาธารณสุข

นายมีชัย  วีระไวทยะ
ผู้ก่อตั้งและนายกสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน
ประเทศไทย

       นายมีชัย  วีระไวทยะ   เป็นผู้ก่อตั้งสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย  ตั้งแต่ปี พ.ศ.2517  ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็น    “สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน”  (Population and Community Development Association  เรียกย่อ ๆ ว่า PDA)   ให้ความรู้เรื่องการวางแผนครอบครัวแก่หญิงชนบท  สนับสนุนการคุมกำเนิดขั้นพื้นฐานด้วยการใช้ถุงยางอนามัย  โดยรณรงค์สื่อสารที่เป็นเอกลักษณ์จนทำให้การใช้ถุงยางอนามัยไม่ใช่สิ่งลึกลับ น่าอับอาย หรือเป็นสิ่งต้องห้าม แต่สามารถกล่าวถึงและใช้งานเป็นของธรรมดาอย่างแพร่หลาย  จนกระทั่งชื่อ “มีชัย”  เป็นที่รู้กันว่าหมายถึงถุงยางอนามัย

       ผลงานของ  นายมีชัย  วีระไวทยะ     ได้กระตุ้นให้รัฐบาลและสังคมทั่วไปตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ถุงยางอนามัย  ซึ่งมีส่วนช่วยควบคุมการแพร่กระจายของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วย  และเมื่อโรคเอดส์ระบาดในประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ระหว่างปี พ.ศ.2523 – 2533  นายมีชัย  วีระไวทยะ  ได้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวิธีการสื่อสารเรื่องโรคเอดส์ในระดับชาติ  และการรณรงค์ป้องกันที่มีส่วนสำคัญๆ หลายเรื่อง รวมถึงการสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในโครงการถุงยางอนามัย 100% ด้วย  เป็นตัวอย่างความสำเร็จของประเทศไทยในการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีในเวทีระดับโลกอีกด้วย

          ผลงานการเผยแพร่การใช้ถุงยางอนามัย ของ   นายมีชัย  วีระไวทยะ    จึงเป็นต้นทางการก่อประโยชน์แก่สุขภาพอนามัยของมวลมนุษย์นับหลายร้อยล้านคนทั่วโลก